การดูสัปดาห์ผลิตยางรถยนต์ จากรหัสที่แก้มยาง
การดูสัปดาห์ผลิตยางรถยนต์ จากรหัสที่แก้มยาง บทความนี้จะพูดถึงการดูสัปดาห์ที่ผลิตยาง จากรหัสที่ปรากฏบนแก้มยางนั้นๆ หลายท่านมักจะเข้าใจผิดว่ายางใหม่มีอายุหลังวันผลิตไม่เกิน 6 เดือน เพราะถ้ามากกว่านั้นยางจะเสื่อมสภาพ ทั้งที่จริงแล้วยางใหม่สามารถเก็บไว้ได้นานถึง 2 ปีและเก็บได้นานกว่านั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยในการเก็บ รักษายางของร้านหรือผู้ให้บริการนั้นๆด้วย โดยที่ยางเส้นนั้นไม่เสื่อมสภาพ เพราะยางรถยนต์มีส่วนผสมของสารเคมีต่างๆ ไม่ได้มีเพียงวัตถุดิบอย่างยางพาราเพียงอย่างเดียว จากผลการทดสอบและวิจัยสถาบันวิจัยที่เป็นกลางและไม่ใช่บริษัทผลิตยางยี่ห้อต่างๆ ซึ่งจะมาไขข้อสงสัย ให้ กระจ่างในบทความนี้หลายท่านสามารถอ่านสัปดาห์หรือปีที่ผลิตยางได้จากที่หล่อไว้บนแก้มยางหรือหาดูตามห่อยาง ถือเป็นเรื่องดี ซึ่งทำให้เลี่ยงการซื้อยางเก่าเก็บได้ แต่อีกหลายท่านที่ไม่มีความรู้ด้านนี้ ก็มีความเชื่อผิดๆ ว่ายางรถยนต์ปีเก่าจะเสื่อมสภาพเร็ว แม้ไม่ได้ใช้งาน แต่อยู่ในการเก็บสต็อกหลังวันผลิต แล้วรอวันขาย หลายคนต้องการหายางอายุไม่เกิน 3-6 เดือน โดยปฏิเสธยางที่มีอายุหลังวันผลิตเกินกว่า 6 เดือน เป็นความเข้าใจผิดอย่างยิ่ง โดยอาจจะอ้างอิงความจริงขั้นพื้นฐาน อะไรก็ตามที่เก่าเก็บนานๆ ก็มักเสื่อมสภาพลงได้ ทั้งที่ไม่ได้ผ่านการใช้งาน หรือคิดกันเองเหมือนการเปรียบ เทียบอาหาร ว่าอาหารที่ปรุงเสร็จแล้ว หากไม่ได้รับประทาน อาหารนั้นก็เสียไป โดยไม่ศึกษาหาความรู้ที่แท้จริงว่า ยางรถยนต์ ไม่ได้มีการเสื่อมสภาพเร็ววันเหมือนอาหาร หรือของใช้อื่นๆ
ยางรถยนต์ แม้ใช้วัตถุดิบมาจากยางพาราส่วนหนึ่ง แต่เนื้อยางจริงๆ มีส่วนผสมของยางพาราไม่มากนัก แต่เป็นไปด้วยสารเคมีมากมาย จึงทำให้ยางคงรูปและมีการยึดเกาะถนนที่ดี มีความห่างชั้นจากยางหนังสติ๊กที่คุ้นเคยกัน แม้จะเรียกขึ้นต้นด้วยคำว่ายาง และมีส่วนผสมของยางพารา เหมือนๆกัน เนื้อยางรถยนต์ มีส่วนผสมของสารเคมีมากกว่ายางพารา จึงมีความทนทั้งต่อการเก็บและการใช้งานที่ต้องบดบี้กับพื้นผิวถนนอยู่ตลอดการใช้งาน
บทความนี้ไม่ได้แนะนำให้ซื้อยางเก่าเก็บ หรือเข้าข้างบริษัทยางให้ขายยางค้างสต็อกได้ แต่ต้องการให้ความรู้ที่ถูกต้อง และอยากให้มุ่งความสนใจไปที่คุณสมบัติอื่น ที่สำคัญกว่าในการเลือกซื้อยางรถยนต์ เช่น เนื้อยาง ลวดลาย ความแข็ง ความทนทาน ประสิทธิภาพ รวมถึงเพิ่มความสะดวก ในการซื้อ ไม่ต้องตระเวนหรือหาเพียงแต่ยางที่เพิ่งผลิตมาใหม่ๆ บางคนถึงขั้นเก่าเก็บเกิน 3 เดือนก็ไม่ซื้อแล้ว ทำเหมือนซื้อขนมปัง ที่ต้องรอหน้าเตาอบกันเลย
จริงๆแล้ว รหัสที่แก้มยางไม่ได้ระบุถึงวันผลิต แต่บอกถึงสัปดาห์และปีที่ผลิต ส่วนใหญ่จะเป็นตัวเลข 4 หลักใกล้ๆ ตัวย่อ DOT (United States - Department of Transportation) อยู่ในวงรี ตัวอย่างเช่น 4710 ความหมายคือ เลข 2 ตัวแรกบอกสัปดาห์ของปีที่ผลิต และเลข 2 ตัวหลังเป็นเลข 2 หลักสุดท้ายของปี ค.ศ ที่ผลิตตั้งแต่ปี 2000 ขึ้นมา ตามตัวอย่าง คือ ยางเส้นนี้ผลิตในสัปดาห์ที่ 47 ค.ศ. 2010
ถ้าเป็นยางที่ผลิตก่อนปี 2000 จะเป็นเลข 3 หลัก เช่น 458 ความหมายคือ เลข 2 ตัวแรกเป็นสัปดาห์ที่ของปีที่ผลิต และตัวเลขหลังเป็นหลักสุดท้ายของค.ศ ที่ผลิตในช่วงปี 1990-1999 ตามตัวอย่างคือ ยางผลิตในสัปดาห์ที่ 45 ปี ค.ศ. 1998
ตัวเลข 4 หลักของวันผลิตยางทุก 100 ปีจะต้องเปลี่ยน เพราะ 2 ตัวเลขหลังซึ่งบอกปีผลิตจะซ้ำกัน ก็เหมือนช่วง ค.ศ. 19xx ใช้เลข 3 หลัก และค.ศ 2xxx ต้องเปลี่ยนมาใช้เลข 4 หลัก ส่วนช่วงค.ศ 21xx จะใช้เลขกี่หลักนั้นยังบอกไม่ได้ต้องรออีก 89 ปี หรือตอนนั้นรถยนต์อาจจะไม่ การใช้ยางแล้วก็ได้
วัน สัปดาห์ หรือเดือนที่ผลิตยางเส้นนั้น ถ้าไม่มีที่แก้มยาง ก็อาจระบุบนหีบห่อของยาง หรือเป็นหมึกปั๊มบนแก้มยาง อาจระบุต่างออกไปเช่นเป็นปี พ.ศ. แต่ส่วนใหญ่ยางรถยนต์ในปัจจุบันในทุกยี่ห้อ มักจะระบุสัปดาห์และปีที่ผลิต เป็นตัวหล่อบนแก้มยางแบบลบไม่ได้ใกล้ตัวย่อ DOT อายุยางรถ ยนต์หลังวันผลิตก่อนวันขาย ว่าการเก่าเก็บนานแค่ไหน จะมีผลต่อประสิทธิภาพของยางมากเพียงไร คุณอาจจะสับสนว่ายางเก่าเก็บ 3 หรือ 6 เดือนยังใช้งานได้ดี และมีประสิทธิภาพใกล้เคียงกัน เนื้อหาหลักมาจากการรวบรวมของผู้ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการผลิตยาง และสังเกตได้ว่าไม่มีการ ระบุยี่ห้อยาง โดยเป็นผลจากการทดสอบและวิจัยจากหลายฝ่าย นอกจากบทความนี้ ก่อนหน้านี้หลายปี มีหน่วยงานไทยได้ทดสอบถึงข้อสงสัยในเรื่องนี้ด้วย โดยกรมการค้าภายในได้ร่วมมือกับสมาคมผู้ค้ายางรถยนต์ พร้อมได้การสนับสนุนจากบริษัทกู๊ดเยียร์และมิชลิน จัดทดสอบคุณภาพ ยางระหว่างที่ผลิตไม่เกิน 6 เดือนเปรียบเทียบกับยางเก่าเก็บที่ผลิตมาแล้ว 24 เดือน (2 ปี) เพื่อคลายความสงสัยและสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้แก่ผู้บริโภค ในการเลือกซื้อยางรถยนต์ให้เหมาะสม ทำการทดสอบภายใต้เงื่อนไขของสถาบันยานยนต์ ใช้ มอก. เป็นมาตรฐานในการทดสอบ พร้อมใช้ค่าทดสอบสูงเกินกว่าพฤติกรรมการใช้งานจริงของคนทั่วไป และสูงกว่ามาตรฐาน มอก. ที่กำหนดไว้ด้วยซ้ำ ในการทดสอบใช้ตัวแปรทุกอย่างเหมือนกัน ต่างแค่วันผลิตของยางเท่านั้น โดยทดสอบประสิทธิภาพการใช้น้ำหนักบรรทุก และทดสอบวิ่งด้วยความเร็ว 120 กม./ชม.ต่อ เนื่องมากกว่า 10 ชั่วโมง ผลทดสอบที่ได้คือ ยางที่ผลิตต่างช่วงเวลากัน มีแค่วันผลิตที่ต่างกัน...แต่ประสิทธิภาพยังคงเดิม
อายุ (วันผลิต) เป็นเพียงตัวเลข...สำหรับยางรถยนต์ ความจริง และความเชื่อ ที่สวนทางกัน ความปลอดภัยของการขับรถยนต์เป็นเรื่องที่สำคัญ และการเลือกซื้อยางรถยนต์ก็นับเป็นสิ่งที่เจ้าของรถควรให้ความสำคัญมาก เพราะเป็นชิ้นส่วนที่ต้องสัมผัสกับพื้นตลอดเวลา การยึดเกาะถนน การทนทานต่อความร้อน และแรงเสียดทาน เป็นสิ่งที่ สำคัญต่อความปลอดภัยในการเดินทาง หลายคนมีความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับการเลือกซื้อยางเก่าเก็บ เพราะได้รับทราบเรื่องราวจากความเชื่อที่ไม่ถูกต้อง เกี่ยวกับอายุการผลิตของยาง จนทำให้ผู้บริโภคในเมืองไทยจำนวนไม่น้อย คำนึงถึงวันผลิตที่ติดอยู่บนแก้มยางหรือ DOT มากเกินความจำ เป็น เพราะแท้จริงแล้วการเลือกซื้อยางที่ถูกต้อง ควรใส่ใจกับคุณสมบัติอื่นมากกว่า เช่น ดูประเภทของการใช้งาน คุณภาพ และควรให้ความใส่ใจการดูแลรักษายาง จากการศึกษาและวิจัยจากหน่วยงานภาครัฐบาล และบริษัทชั้นนำทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ พบว่า แท้จริงแล้ววันผลิต ของยางไม่ได้มีผลกับสมรรถภาพของยางอย่างที่หลายคนเข้าใจ เพราะปกติยางที่ผลิตออกมานั้น เมื่อมีการจัดเก็บที่ดีพอ เช่น การเก็บรักษาในอุณหภูมิที่เหมาะสม และยังไม่ได้เริ่มใช้งาน ก็จะสามารถเก็บยางเส้นนั้นๆ ได้เป็นเวลาหลายปี โดยไม่เสื่อมสภาพ
กรมทรัพยากรอุตสาหกรรมของประเทศเกาหลีใต้ ได้เคยออกเอกสาร ซึ่งมีข้อความที่ไม่ถูกต้องเมื่อ พ.ศ. 2550 ว่ายางที่ผลิตนานกว่า 1 ปีอาจจะมีผลต่อความปลอดภัยในการขับขี่ได้ แต่ท้ายสุดความเชื่อที่คลาดเคลื่อนนี้ ก็ได้ลบล้างไปหลังจากกรมคุ้มครองผู้บริโภคของประเทศเกาหลีใต้ จัดการทดสอบเพื่อพิสูจน์ระดับความปลอดภัยระหว่างยางใหม่และยางเก่าเก็บ ที่ผลิตย้อนหลังไป 3 ปี (พ.ศ.2548 และ 2550) ด้วยการทดสอบแบบ KSM6750 เกี่ยวกับการขับรถยนต์ด้วยความเร็วสูงและการขับแบบหยุดเป็นระยะ ได้ผลว่า แม้ยางผลิตในวันที่จะแตกต่างกันถึง 3 ปี แต่ ประสิทธิภาพและสมรรถนะของยางเหมือนกันทุกประการ นอกจากนั้น กรมคมนาคมของประเทศสหรัฐอเมริกา เคยพิมพ์บทความเกี่ยวกับ “ประสิทธิภาพของยางรถยนต์ที่มีการเติมลมแล้ว (The Pneumatic Tier)” ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549 โดยระบุว่า ความร้อนที่เกิดขึ้น ขณะยางกำลังใช้งาน เป็นปัจจัยสำคัญซึ่งทำให้ยางเสื่อมสภาพ รถยนต์วิ่งด้วยความเร็ว 120 กม./ชม. สามารถทำให้หน้ายางมีอุณหภูมิสูงถึง 75 องศาเซลเซียส และถ้าแรงดันลมยางน้อยกว่าปกติ (ยางอ่อน-ยางแบน) ก็จะยิ่งทำให้หน้ายางมีความร้อนสูงขึ้นไปอีก ดังนั้นอุณหภูมิในโกดังที่ จัดเก็บยางรถยนต์ก่อนการใช้งานจริง จึงมีผลต่อคุณภาพของเนื้อยางเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เมื่อเทียบกับความร้อนที่เกิดจากแรงเสียดสีกับพื้นในการขับขี่จริง เพราะโดยทั่วไปยางที่ยังไม่ได้ใช้งาน สามารถเก็บได้เป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 3 ปีก่อนการใช้งานจริง โดยขึ้นอยู่กับการเก็บรักษา จากคำแนะนำของบริษัทผู้ผลิต
อีกตัวอย่างได้จากการทดสอบในแถบทวีปยุโรป โดยองค์กร ADAC ซึ่งเป็นหน่วยงานเพื่อผู้ขับรถยนต์ซึ่งใหญ่ที่สุดในประเทศเยอรมนี ได้พิสูจน์เรื่องสมรรถนะของยางไว้ในเดือนมิถุนายน 2553 โดยทดสอบประสิทธิภาพยางรถยนต์ที่ผลิตใน พ.ศ. 2550 และ พ.ศ. 2547 ผลิตแตกต่างกัน 3 ปี สำหรับการขับรถยนต์ในช่วงฤดูหนาวและฤดูร้อน ซึ่งผลการทดสอบก็ไม่สามารถระบุได้อย่างชัดเจนว่า ยางที่ผลิตใหม่จะมีสมรรถนะเหนือกว่ายางที่ผลิตมานานกว่า ในประเทศไทยก็มีหน่วยงานภาควิชาการได้ทำการทดสอบในลักษณะเดียวกัน โดยคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมกับ TUV Rheinland Group Ltd. ซึ่งเป็นบริษัทรับทำหน้าที่ทดสอบและให้การรับรองคุณภาพแก่ผลิตภัณฑ์หรือสินค้าของบริษัทชั้นนำทั่วโลก มีสำนักงานใหญ่ในประเทศเยอรมนี ทำการทดสอบเพื่อหาข้อพิสูจน์ว่า...ในสภาพแวดล้อมของประเทศไทย สมรรถนะของยางที่ผลิต ใหม่กับยางที่ผลิตมานานกว่า จะมีความแตกต่างกันในด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัยหรือไม่ โดยนำยางรถยนต์ที่มีวันผลิตต่างกัน 1 ปี ไปทดสอบในรถยนต์ที่ใช้ความเร็วสูงที่ 230 กม./ชม. ในเวลาที่ต่อเนื่องนาน 60 นาที ผลจากการทดสอบพบว่า มีประสิทธิภาพแตกต่างกันไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์ รวมทั้งมีความสามารถในการบรรทุกหนักและวิ่งเป็นระยะทางไกล ตลอดจนความแข็งแรงของหน้ายางและโครงสร้างยางไม่แตกต่างกัน ทั้งที่วันผลิตยางนั้นห่างกันถึง 1 ปี นอกจากนั้น TUV Rheinland Group Ltd. ได้ทำการทดสอบว่าวันผลิตยางที่แตกต่างกัน จะมีผลต่อ สมรรถนะในด้านการเกาะถนน, การควบคุมการขับขี่และการเบรกของยางหรือไม่ โดย TUV Rheinland Group Ltd ได้ทำการทดสอบระยะการเบรกที่ความเร็ว 80 กม./ชม.จนกระทั่งหยุดนิ่ง ผลการทดสอบยางที่มีวันผลิตแตกต่างกัน แต่ประสิทธิภาพทั้ง 3 ด้านแทบจะไม่แตกต่างกัน
นายชูเดช ดีประเสริฐกุล อาจารย์ประจำภาควิชาวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า “ยางรถยนต์ที่ผลิตต่างกัน 2- 3 ปีจะให้สมรรถนะและประสิทธิภาพในการขับรถยนต์ในระดับที่ไม่แตกต่างกัน แต่อย่างไรก็ตาม ต้องขึ้นอยู่กับการเก็บรักษายางในร้านด้วยว่า มี การควบคุมอุณหภูมิและความชื้นที่เหมาะสม รวมทั้งไม่ให้โดนแดด เพราะอาจทำให้หน้ายางมีความยืดหยุ่นน้อยลงและแข็งขึ้น ดังนั้นการเลือกซื้อยางในร้านที่เชื่อถือได้ จึงมีความสำคัญ แทนที่จะคำนึงเรื่องวันเดือนปีที่ผลิตเป็นหลัก” “ส่วนความเชื่อที่คิดว่ายางรถยนต์รุ่นเดียวกัน ถ้ายิ่งผลิต ใหม่สุด ก็จะทำให้ได้รับยางที่ผลิตโดยเทคโนโลยีอันทันสมัยขึ้นและใช้วัตถุดิบดีขึ้น ก็ไม่ได้รับการยืนยัน เพราะยางในแต่ละรุ่นจะมีการใช้วัตถุดิบและเทคโนโลยีเหมือนกัน บางครั้งยางที่ผลิตก่อน อาจมีความเหนียวของยางมากกว่า ซึ่งทำให้การขับรถมีสมรรถนะยิ่งขึ้น อยากแนะนำในการเลือก ซื้อยางสำหรับคนไทยว่า ต้องเลือกยางที่เหมาะสมกับการใช้งานและขนาดของล้อ ส่วนวันผลิตนั้น ไม่ได้มีผลโดยตรงต่อการเสื่อมสภาพของยาง” นายชูเดช กล่าวสรุป
ทราบกันอย่างนี้แล้ว ถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่จะมีวิธีการเลือกซื้อยางที่ถูกต้อง โดยสนใจคุณสมบัติอื่นของยางเป็นสำคัญ เพื่อมอบความปลอดภัยแก่การขับรถยนต์มากที่สุด การเสียเวลาและเสียค่าใช้จ่ายในการเลือกซื้อยางใหม่ที่สุดน่าจะหมดไป เพราะในวันนี้มีผลพิสูจน์จากหลายหน่วยงานที่ น่าเชื่อถือแล้วว่า ยางใหม่และยางเก่าเก็บไม่แตกต่างกัน วันนี้ผู้ใช้รถยนต์ทั่วโลกต้องตระหนักกันใหม่ว่า การเลือกซื้อยาง ต้องเลือกให้เหมาะสมกับประเภทใช้งานและความต้องการ รวมทั้งเลือกขนาดที่ถูกต้อง เพื่อประสิทธิภาพและสมรรถนะของการขับขี่สูงสุด ทิ้งความเชื่อที่ผิดๆ เกี่ยวกับวันผลิตยางแล้วเลือกยางให้เหมาะสมกับรถยนต์ และการใช้งานของคุณให้ดีที่สุด
ยางรถยนต์ , ยางรถบรรทุก , บทความเกี่ยวกับยางรถยนต์
ขอขอบคุณข้อมูลจาก WEBER SHANDWICK