TiretruckIntertrade ศูนย์จำหน่ายยางรถบรรทุก ยางรถตัก ยางรถเครน ยางรถการเกษตรและยางรถอุตสาหกรรมทุกชนิด
  • LPG , NGV , E20 , E85 ในยุคที่น้ำมันแพงอย่างนี้ จะเลือกใช้อะไรดี?

    ในสภาวะที่ราคาน้ำมันทยานขึ้นสูงลิบฟ้า ซึ่งมีแต่จะขึ้นไปเรื่อย แพงขึ้นทุกวัน ผู้ใช้รถต้องแบกภาระค่าน้ำมันกันจนไหล่แทบทรุด เวลาจะเติมน้ำมันเต็มถังที ก็ต้องควักเงินหลักพันกันเลยทีเดียว ทำให้หลายคนเริ่มมองหาทางเลือกในการช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย ซึ่งทางออกหนึ่งที่กำลังเป็นที่นิยมกันอยู่ขณะนี้เห็นจะไม่พ้น การเปลี่ยนมาใช้เชื้อเพลิงที่เป็นพลังงานทางเลือกต่างๆ อย่างก๊าซ LPG,NGV หรือน้ำมันเชื้อเพลิงประเภท E20 , E85 ที่มีราคาถูกกว่ากันเยอะ แต่ก็มักมีคำถามตามมาอีกว่า... "แล้วจะใช้เชื้อเพลิงอะไรดี ปลอดภัยหรือไม่ จะระเบิดหรือป่าว...?" บทความนี้เราจะมาพูดถึงคุณสมบัติและข้อดีข้อเสียของพลังงานทางเลือกต่างๆเหล่านี้

     

    ก๊าซแอลพีจี คืออะไร?
        ก๊าซแอลพีจี (Liquefied Petroleum Gas: LPG) หรือ ก๊าซปิโตรเลียมเหลว คือ พลังงานธรรมชาติประเภทหนึ่งที่ชาวบ้านทั่วไปรู้จักกันในนาม "ก๊าซหุงต้ม" เป็นก๊าซที่ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น เบากว่าน้ำแต่หนักกว่าอากาศจึงลอยอยู่ในระดับต่ำ มีการสะสมและลุกไหม้ได้ง่าย ดังนั้น เมื่อมีการนำมาใช้ในเชิงพาณิชย์ จึงมีข้อกำหนดให้เติมสารมีกลิ่น เพื่อเป็นการเตือนภัย หากเกิดการรั่วไหลขึ้น
        ในบ้านเราก๊าซหุงต้มหรือแอลพีจี ได้มาจากการกลั่นน้ำมันและบ่อก๊าซธรรมชาติ ในสัดส่วนที่เท่าๆ กัน(ปตท. ยังมีเหลือจัดส่งไปจำหน่ายยังต่างประเทศด้วยนะ) ก๊าซหุงต้มมีคุณสมบัติอย่างหนึ่งที่สามารถนำมาใช้แป็นเชื้อเพลิงในรถยนต์ได้ก็คือ เป็นก๊าซที่มีค่าอ็อกเทนสูงโดยธรรมชาติ มีสอง    สถานะคือ มีสภาพเป็นก๊าซและเป็นของเหลว ซึ่งก๊าซแอลพีจีจะถูกบรรจุเป็นของเหลวใส่ถังภายใต้แรงดันสูง (แต่ยังต่ำกว่า เอ็นจีวี) เพื่อให้ขนถ่ายง่าย เมื่อนำไปใช้งานจะกลายสภาพเป็นไอ
        นอกจากจะนิยมใช้แอลพีจีในครัวเรือนแล้ว ปัจจุบันยังมีการนำก๊าซแอลพีจีมาใช้แทนน้ำมันเบนซิน ในรถยนต์ เนื่องจากราคาถูกกว่าและมีค่าออกเทนสูงถึง 105 ทำให้เมื่อนำมาใช้กับรถยนต์แล้ว มีประสิทธิภาพสูง สมรรถนะทัดเทียมกับรถที่ใช้ระบบน้ำมันเดิม จนผู้ขับขี่ไม่มีความรู้สึกแตกต่างระหว่างการใช้น้ำมันหรือก๊าซแอลพีจี

    คุณสมบัติของก๊าซแอลพีจี
        1. ก๊าซแอลพีจี อยู่ในรูปของเหลว และมีความดันต่ำ ถังก๊าซแอลพีจีมีความหนาผนังมากกว่าถังน้ำมันเบนซินมาก ทำให้โอกาสที่จะเกิดการระเบิด จากถังเนื่องจากการชนเป็นไปได้น้อย
        2. ก๊าซแอลพีจี ไม่ก่อให้เกิดสารตกค้างใด ทำให้การจุดระเบิดสะอาดหมดจด และยืดอายุการใช้งานได้
        3. ก๊าซแอลพีจี มีออกเทนสูงกว่าน้ำมันเบนซิน จึงส่งผลให้การสตาร์ทและการทำงานของเครื่องยนต์มีความสมบูรณ์มากขึ้น
        4. ราคาค่าก๊าซถูกกว่าน้ำมันเบนซินหรือดีเซล ทั้งปัจจุบันและอนาคต
        5. ช่วยป้องกันปัญหาที่เรียกว่ารถกินน้ำมันเครื่อง เพราะการสึกหรอของชิ้นส่วน เมื่อใช้ก๊าซมีน้อยกว่า
        6. ยืดอายุการใช้งานของเครื่องยนต์
        7. เครื่องยนต์เดินได้ราบเรียบกว่าในรอบที่ต่ำกว่า ถ้าหากได้รับการติดตั้งอย่างถูกวิธี

    ข้อควรระวังสำหรับการใช้ LPG ในรถยนต์
        1. ต้องรู้ว่าก๊าซหุงต้มคือ ก๊าซ ที่หนักกว่าอากาศ เมื่อมีการรั่วซึมจะเกาะกลุ่มกันอยู่บนพื้นในระดับต่ำ
        2. ควรจะต้องตรวจเช็คการรั่วซึมตามจุดต่างๆ อย่างน้อยปีละสองครั้ง
        3. ก่อนที่จะมีการถอดชิ้นส่วนอุปกรณ์ในระบบก๊าซจะต้องปิดวาวล์ที่ถังก๊าซให้สนิท
        4. จะต้องไม่เติมก๊าซมากกว่าร้อยละแปดสิบของความจุของถัง
        5. ในการเติมก๊าซทุกครั้งอาจจะมีการรั่วซึมออกมานิดหน่อยตรงหัวเติมก๊าซ ให้ระวังประกายไฟในขณะนั้น
        6. การจอดรถหลังเลิกใช้งานเมื่อจอดรถในที่จอด เช่น โรงรถ ควรจะปิดวาวล์ที่ถังแกส
        7. โรงจอดรถถ้าเป็นไปได้ควรจะเป็นที่ๆ มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก โดยเฉพาะในระดับพื้นดินต้องโปร่งโล่ง
        8. ถ้าจะนำรถที่ใช้ก๊าซเข้าตรวจเช็คสภาพรถยนต์ตามปกติ ควรจะให้มีก๊าซในถังเหลือน้อยที่สุด
        9. ในรถรุ่นที่ต้องปรับตั้งลิ้นไอดีไอเสียแบบกลไก ก็จะต้องมีการปรับตั้งระยะห่างของลิ้นตามปกติอย่างเข้มงวด
        10. LPG จะถูกเผาไหม้ช้ากว่าน้ำมันเบนซิน การปรับตั้งไฟจุดระเบิดจึงต้องปรับตั้งล่วงหน้าเพื่อจะเผาไหม้ได้หมดจด
        11. LPG ต้องใช้ประกายไฟจากหัวเทียนเข้มข้นกว่าที่ใช้ในน้ำมันเบนซิน จึงต้องเลือกใช้หัวเทียนให้ถูกต้องกับค่าความร้อน
        12. LPG มีค่าอ็อกเทนประมาณ 91 ถึง125 รถที่จะติดตั้งก๊าซหุงต้ม ควรจะมีอัตราส่วนกำลังอัดตั้งแต่ 10:1 ขึ้นไป จึงจะใช้ประสิทธิภาพของก๊าซได้อย่างคุ้มค่า
        อย่างไรก็ตาม รถยนต์ที่ใช้ LPG ถ้าวิเคราะห์กันในเรื่องของความปลอดภัยแล้ว มีความปลอดภัยไม่น้อยกว่ารถที่ใช้น้ำมันเบนซิน โดยเฉพาะในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุจากการชนทั้งหน้าหรือท้ายรถ วาล์วนิรภัยจะทำการปิดล็อคทันทีโดยอัตโนมัติ เมื่อมีก๊าซรั่วไหลออกจากถังในอัตราที่ผิดปกติจากการใช้งาน     ในขณะที่ถังน้ำมันเบนซิน เมื่อถูกชนยังมีโอกาสแตกรั่วทำให้น้ำมันรั่วไหลลงพื้น
        ก่อนนำรถที่ใช้งานอยู่เป็นประจำไปติดตั้งก๊าซแอลพีจี ควรจะปรับปรุงเครื่องยนต์ให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ที่สุดเสียก่อน รถยนต์ทุกวันนี้แม้จะเป็นรถยนต์ที่ถูกพัฒนาให้ทันสมัยด้วยเทคโนโลที่สูง อุปกรณ์ในการติดตั้งก๊าซ และกรรมวิธีในการติดตั้งก็ได้รับการพัฒนาให้ตามทันกับการพัฒนาของรถยนต์ ไม่ว่าจะ    เป็นการติดตั้งในระบบดูดหรือในระบบฉีด ก็ไม่มีปัญหาสำหรับการใช้งานอีกต่อไป การวิตกกังวลกับเรื่องการสึกหรอของเครื่องยนต์เมื่อใช้ก๊าซนั้นในเทคโนโลยีของปัจจุบัน ไม่ใช่ปัญหาที่จะต้องนำมาขบคิดกันอีกต่อไป
        ในประเทศอื่นทั่วโลก มีรถยนต์ที่ติดตั้งก๊าซ LPG ที่ใช้ร่วมกับน้ำมันเบนซินมากเป็นล้านๆ คันแล้ว โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศยุโรปที่เข้มงวดกวดขันในเรื่องของสิ่งแวดล้อม เพราะก๊าซ คือพลังงานที่สะอาด และประหยัด อย่ารอช้าหากท่านคิดจะติดตั้งก๊าซ LPG ในรถยนต์ของท่าน เพราะในภาวะที่ราคาของน้ำมันมีแต่ปรับราคาขึ้นเป็นรายวัน ทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับวันนี้ ติดตั้งก๊าซ น่าจะเป็นทางเลือกที่คุ้มค่าแม้ว่าจะต้องมีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากการติดตั้งก็ตาม



    ก๊าซเอ็นจีวีคืออะไร
        ก๊าซเอ็นจีวี (Natural Gas for Vehicle: NGV) มีภาษาเชิงวิชาการว่า ก๊าซซีเอ็นจี (Compressed Natural Gas: CNG)  คือ ก๊าซธรรมชาติที่มี "มีเทน" เป็นส่วนประกอบหลักและถูกอัดจนมีความดันสูง ซึ่งในบางประเทศเรียกว่า "ก๊าซธรรมชาติอัด" (ซีเอ็นจี) ซึ่งถูกอัดที่แรงดัน 200 bar หรือ 3,000 psi และถูกกักเก็บไว้ในถังบรรจุก๊าซธรรมชาติอัดที่ถูกผลิตขึ้นมาเป็นพิเศษให้สามารถรองรับแรงดันได้ โดยมีสภาพเป็นก๊าซหรือไอที่อุณหภูมิและความดันบรรยากาศ โดยมีค่าความถ่วงจำเพาะต่ำกว่าอากาศ จึงเบากว่าอากาศ เมื่อเกิดการรั่วไหลจะฟุ้งกระจายไปตามบรรยากาศอย่างรวดเร็ว จึงไม่มีการสะสมลุกไหม้บนพื้นราบ

    คุณสมบัติของก๊าซเอ็นจีวี
        1. อุณหภูมิติดไฟของก๊าซเอ็นจีวีนั้นสูงกว่าเชื้อเพลิงอื่นๆ ติดไปยาก ทำให้ลดความเสี่ยงของการเกิดไฟไหม้เมื่อก๊าซรั่วหรืออุบัติเหตุ
        2. ก๊าซเอ็นจีวี ถูกจัดเก็บอยู่ในรูปไอ ซึ่งมีแรงดันสูง จึงทำให้ไม่มีอากาศเข้าไปผสม จึงไม่ก่อให้เกิดการผสมกันระหว่างก๊าซ จึงลดโอกาสในการติดไฟและระเบิดได้
        3. ก๊าซเอ็นจีวี ก่อให้เกิดการเผาไหม้ที่สะอาดหมดจด และไม่ก่อให้เกิดการสกปรกของน้ำมันเครื่อง จึงสามารถยืดอายุการใช้งานของน้ำมันเครื่องได้
        4. ก๊าซเอ็นจีวี ไม่ก่อให้เกิดสารตกค้างใด ทำให้การจุดระเบิดสะอาดหมดจด และยืดอายุการใช้งานได้
        5. ก๊าซเอ็นจีวี ไม่ส่งผลเสียต่อลูกสูบและกระบอกสูบ ทำให้เกิดการหล่อลื่นที่มีประสิทธิภาพ จึงส่งผลให้อายุการใช้งานยาวนานขึ้น
        6. ก๊าซเอ็นจีวี มีออกเทนสูงกว่าน้ำมันเบนซิน จึงส่งผลให้การสตาร์ทและการทำงานของเครื่องยนต์มีความสมบูรณ์มากขึ้น
        7. ก๊าซเอ็นจีวี ก่อให้เกิดการเผาไหม้ที่สะอาดหมดจด ตามที่กล่าวไว้ข้างต้น จึงช่วยลดมวลไอเสีย และส่งผลต่อการลดมลพิษในอากาศโดยตรง
        8. มีสัดส่วนของคาร์บอนน้อยกว่าเชื้อเพลิงชนิดอื่นและมีคุณสมบัติเป็นก๊าซ ทำให้การเผาไหม้สมบูรณ์มากกว่าเชื้อเพลิงชนิดอื่น และปริมาณไอเสียที่ปล่อยออกจากเครื่องยนต์ใช้ก๊าซธรรมชาติ มีปริมาณต่ำกว่าเชื้อเพลิงชนิดอื่น
        9. เป็นเชื้อเพลิงที่สะอาดไม่ก่อให้เกิดควันดำหรือสารพิษที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของประชาชน จึงสามารถลดปัญหามลพิษทางอากาศ ซึ่งนับวันจะทวีความรุนแรงมากขึ้น
        10. เป็นเชื้อเพลิงที่สามารถผลิตได้ในประเทศ จึงมีราคาถูกกว่าน้ำมัน และสามารถประหยัดเงินตราต่างประเทศจากการลดการนำเข้าน้ำมันดิบ
        11. เป็นเชื้อเพลิงรถยนต์ที่มีความปลอดภัยมากที่สุด เพราะมีคุณสมบัติเบากว่าอากาศ ดังนั้นเมื่อเกิดรั่วไหล ก๊าซเอ็นจีวีจะไม่สะสมอยู่บนพื้นดินจนเกิดการลุกไหม้เหมือนเชื้อเพลิงอื่นๆ และอุณหภูมิที่จะทำให้ก๊าซเอ็นจีวีสามารถลุกติดไฟในอากาศเองได้ก็ต้องสูงถึง 650 องศาเซลเซียส
    อย่างไรก็ตาม ในส่วนของข้อด้อยนั้นรถยนต์ที่จะใช้ก๊าซเอ็นจีวีได้ต้องเป็นรถที่มีเครื่องยนต์ ซึ่งสร้างขึ้นมาเพื่อรองรับการใช้งานก๊าซเอ็นจีวีโดยเฉพาะ หรือไม่ก็ต้องเป็น "เครื่องยนต์ระบบเชื้อเพลิงสองระบบ" หรือ "เครื่องยนต์ระบบเชื้อเพลิงร่วม" ที่ผ่านการดัดแปลงและติดตั้งอุปกรณ์พิเศษที่ทำให้เครื่องยนต์ใช้ได้ทั้งน้ำมันเบนซิน น้ำมันดีเซล และก๊าซเอ็นจีวี
    ปัจจุบันอุปกรณ์สำหรับการดัดแปลงเครื่องยนต์ดังกล่าวต้องนำเข้าจากต่างประเทศ จึงมีราคาค่อนข้างสูง ซึ่งอุปกรณ์ใช้ก๊าซเอ็นจีวีระบบ "เครื่องยนต์ระบบเชื้อเพลิงร่วม" (ดีเซล-เอ็นจีวี) มีราคาสูงถึง 400,000-500,000 บาท และอุปกรณ์ใช้ก๊าซเอ็นจีวีระบบ "เครื่องยนต์ระบบเชื้อเพลิงสองระบบ" (เบนซิน-เอ็น    จีวี) มีราคา 30,000-50,000 บาท นอกจากนี้ รถเอ็นจีวีจะมีกำลัง "ต่ำ" กว่ารถทั่วไปตามท้องตลาด แต่ถ้าวิ่งในเมืองปัญหาข้อนี้จะไม่มีผลกระทบมากนัก
    รู้จักก๊าซธรรมชาติทั้งสองชนิดกันแล้ว ทีนี้เราจะมาเปรียบเทียบจุดเด่นจุดด้อยของก๊าซทั้งสองชนิดให้เห็นกันแบบชัดๆ เพื่อง่ายต่อการตัดสินใจค่ะ...
       
    จุดเด่นของแอลพีจี
        1. ค่าติดตั้งถูกกว่า ขึ้นอยู่กับอุปกรณ์ ถ้าเป็นระบบดูดก๊าซ (Mixer) มีค่าใช้จ่าย 15,000-28,000 บาท ส่วนระบบฉีดก๊าซ (Injection) มีค่าใช้จ่ายราวๆ 35,000-43,000 บาท
        2. มีความจุก๊าซมากกว่า กล่าวคือ ถังก๊าซที่มีขนาดเท่ากัน แต่แอลพีจีสามารถบรรจุปริมาณก๊าซได้มากกว่า
        3. มีสถานีบริการ จำนวนแพร่หลายมากกว่า

    ข้อด้อยแอลพีจี  
        1.  เป็นก๊าซที่ติดไฟง่ายกว่าเอ็นจีวี มีราคาสูงกว่า
        2. ภาครัฐมีแผนที่จะปล่อยราคาก๊าซให้ลอยตัวเป็นไปตามกลไกตลาด ซึ่งจะส่งผลให้ก๊าซแอลพีจี มีราคาสูงขึ้นอีกในอนาคต

    จุดเด่นของก๊าซเอ็นจีวี
        1. ภาครัฐให้การสนับสนุน มีนโยบายในเรื่องของการกำหนดราคา ทำให้ราคาอยู่ในการควบคุม
        2. มีรถยนต์ที่ใช้เอ็นจีวี ประกอบจากโรงงานโดยตรง
        3. ปลอดภัยกว่า ทั้งในแง่คุณสมบัติของมันเองที่เบากว่าอากาศ เมื่อเกิดการรั่วไหล ก็จะฟุ้งกระจายไปบนอากาศอย่างรวดเร็ว และอู่ที่รับติดตั้งเอ็นจีวี ผ่านการรับรองจาก ปตท.

    ข้อด้อยก๊าซเอ็นจีวี 
        1. เรื่องสถานีบริการมีจำนวนน้อย โดยขณะนี้มีสถานีบริการเอ็นจีวีที่เปิดให้บริการแล้วจำนวน 176 แห่ง และกำลังจะเปิดอีก 59 แห่งในปีนี้
        2. ค่าติดตั้งค่อนข้างสูง โดยระบบดูดก๊าซจะมีค่าใช้จ่าย 38,000-43,000 บาท ส่วนระบบฉีดก๊าซ เป็นระบบที่มีอีซียู ควบคุมกรจ่ายก๊าซตามลำดับการจุดระเบิดของเครื่องยนต์ จะมีค่าใช้จ่ายตั้งแต่ 58,000-63,000 บาท
        ได้รับข้อมูลเบื้องต้นกันไปแล้ว ต่อไปก็เป็นหน้าที่ของคุณๆ ที่จะต้องตัดสินใจกันเองแล้วหละค่ะว่า จะเลือกพลังงานทางเลือกชนิดใด


    แก๊สโซฮอล์ E20
        เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า แก๊สโซฮอล์ ก็คือน้ำมันเบนซินผสมแอลกอฮอล์ มาจากคำว่าแก๊สโซลีน (เป็นสำนวนของอเมริกันที่เรียกน้ำมันเบนซิน) เมื่อบวกกับแอลกอฮอล์ก็เลยเรียกว่า แก๊สโซฮอล์ ไม่เกี่ยวข้องกับแก๊สหรือก๊าซที่ในสำนวนไทยหมายถึงไอระเหยของของเหลว อันที่จริงเราน่าจะเรียกกันว่า เบนโซฮอล์     ก็จะเข้าใจง่ายขึ้น แต่ก็เอาเถอะ ดั้งเดิมของเขาเรียกกันอย่างนั้น จากประเทศเริ่มต้น ที่เริ่มใช้กันในบราซิลมานานกว่า 30 ปีมาแล้ว
        แรกๆ ก็รู้สึกตื่นเต้นกับเชื้อเพลิงชนิดใหม่นี้ เพราะสามารถเอาเชื้อเพลิงที่ผลิตได้ จากพืชผลทางการเกษตร เช่น น้ำตาลหรือมันสำปะหลัง สำหรับประเทศที่มีพื้นที่ เกษตรเป็นจำนวนมาก จนผลิตผลล้นตลาดจนขายไม่ออก เมื่อของมันล้น ก็หาทางเบี่ยงเบนไปใช้ เพื่อให้ผลิตผลมีทางออก และเป๊นการพยุงราคามิให้ตกต่ำลงไปมากกว่านี้ ก็นับว่าเป็นผลดี แต่สำหรับประเทศที่ไม่สามารถผลิตผลิตผลทางการเกษตรได้อย่างเพียงพอ การเอาของที่กินได้มาเติมรถ จึงเป็นการไม่สู้จะเหมาะสมนัก เท่าที่ทราบจากคำบอกเล่าว่า ประเทศสหรัฐ ในเขตพื้นที่ของแคลิฟอร์เนีย ก็ยังไม่มีน้ำมันแก๊สโซฮอล์จำหน่าย คงจะมีบ้างในเขตพื้นที่แถวกลางๆ ประเทศนั่นแหละ ที่มีการเพาะปลูกพืชเป็นจำนวนมาก
        การผลิตแอลกอฮอล์จากอ้อยก็มีต้นทุนสูงไม่น้อย เพราะกว่าอ้อยจะโตขึ้นมา ก็ต้องใช้เวลาเพาะปลูก อีกทั้งยังจะต้องใส่ปุ๋ย พรวนดิน และต้องมีการปรับสภาพผิวดินอยู่เสมอ เพราะเมื่อปลูกสัก 2 ครั้ง ไปแล้ว ก็เริ่มจะขาดสารอาหารในดิน จนไม่สามารถจะเพาะปลูกพืชอื่นได้ ในบางพื้นที่ก็มีการสลับการปลูกพืช ประเภทถั่วเพื่อปรับปรุงสภาพผิวดินให้มี คุณภาพคืนมาบ้าง สำหรับพืชประเภทมันสำปะหลัง ก็ถือได้ว่าเป็นพืชที่กินดิน เพราะเมื่อปลูกไปแล้วสักระยะ ดินก็จะจืดจนปลูกพืชอื่นไม่ได้เช่นกัน การปลูกพืชเหล่านี้ในระยะยาวจะมีผลทำให้ไม่สามารถปลูกพืชอื่นได้ แม้ตัวของมันเองก็จะไม่ค่อยงามเหมือนตอนปลูกใหม่ๆ
        เมื่อเอาพืชผลทางเกษตรมาผลิตเป็นเอทานอลได้แล้ว ก็จะได้เป็นสูตรเคมีดังนี้ C2H 5OH คิดเป็นอัตราส่วนของธาตุโดยมวล C:H:O= 52.2:13.1:34.5 คือคาร์บอน 52.2% ไฮโดรเจน 13.1% และออกซิเจน 34.5 มีค่าออกเทนที่ Ron 107 จะมีจุดเดือดที่ 78 C จึง ระเหยได้ง่าย ละลายในน้ำได้ดีในทุกอัตราส่วน เช่นเดียวกับเหล้าที่ผสมน้ำหรือโซดาที่เราดื่มกิน แต่การที่จะผสมกับน้ำมันเบนซินก็จะเข้ากันได้ยาก จำเป็นจะต้องเติมสารประเภทยึดเหนี่ยวเพื่อให้แอลกอฮอล์สามารถผสมกับเบนซิน ได้ ข้อแตกต่างจากสูตรเคมีของเบนซินจะมีเพียง C กับ H คือคาร์บอนกับไฮโดรเจนเท่านั้น การที่มี O หรือ ออกซิเจนอยู่ในเชื้อเพลิง ทำให้อุปกรณ์ที่ใช้ในการจ่าย จำเป็นจะต้องเป็นวัสดุที่ไม่ทำปฏิกิริยากับออกซิเจนเท่านั้น
        สำหรับในรถยนต์รุ่นเก่าๆ จะไม่ได้ใช้วัสดุเหล่านี้เลย เพราะเชื้อเพลิงไม่มีออกซิเจนในตัว อีกทั้งยังพัฒนาไปไม่ถึงขั้น คงใช้ถังเชื้อเพลิงที่เป็นเหล็กและเคลือบด้วยตะกั่วหรือสังกะสี ส่วนระบบส่งเชื้อเพลิงและระบบจ่ายก็ยังเป็นอะลูมิเนียม หรือ ซิงค์ ดาย ดาส อุปกรณ์เหล่านี้จะถูกกัดกร่อน อีกทั้งส่วนที่เป็นท่อยาง หรือ ซีล โอริงส์ ก็จะเกิดการบวมและทำให้รั่วซึมจนชำรุดในที่สุด สำหรับยางสังเคราะห์ที่ทำขึ้นเพื่อใช้กับแอลกอฮอล์ ก็ไม่สามารถใช้กับน้ำมันปิโตรเลียมได้ เพราะมันบวมอืด เหมือนอย่างยางหนังสะติ๊กแช่น้ำมันเบนซินหรือน้ำมันก๊าด ใช้เวลาไม่นานนักมันจะบวมเป็นวงโตมาก แต่ถ้าแช่ในแอลกอฮอล์ มันจะอยู่กันได้ ทีนี้น้ำมันแก๊สโซฮอล์มันมีทั้งสองอย่าง วัสดุที่เป็นยางจึงต้องมีสูตรผสมพิเศษยิ่งกว่าและมีราคาแพงกว่าหลายเท่าตัว
        แก๊สโซฮอล์ที่มีจำหน่ายแล้วเวลานี้ก็คือ E10 นั่นก็คือมีแอลกอฮอล์ผสมอยู่ด้วย 10% ที่ออกมาใหม่ปีนี้จะเป็น E20 หมายถึงจะมีส่วนผสมถึง 20% และจะมีราคาถูกลงไปอีก ในส่วนนี้ก็นับว่ามีอาการแปลกๆ เอาแค่ E10 ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ 10% ทำให้แก๊สโซฮอล์ 95 ถูกกว่า 95 ธรรมดากว่า 10% ได้ ในส่วนนี้ถ้าพิจารณาโดยหลักการค้าแล้ว มันเป็นไปได้อย่างไร? เท่ากับว่าแอลกอฮอล์ที่ผสมเพิ่มเข้าไปแทนที่ 10% เป็นของที่ได้มาเปล่าๆ ไม่มีราคาอะไร หรือเป็นการชดเชยทางภาษี เพื่อต้อนประชาชนไปใช้ หรือไม่ก็เป็นการเพิ่มราคาเบนซิน 95 เพื่อให้ไม่น่าใช้ ตรงนี้ไม่สามารถเดาได้ว่า ยิ่งผสมมากก็ยิ่งถูกลง ถ้ามันเป็นเช่นนี้จริง ก็จัดจำหน่าย E100 ไปเลย อาจจะเติมฟรีด้วยก็ได้ ถ้าเป็นเช่นนี้ เครื่องยนต์ที่จะใช้แอลกอฮอล์ล้วนสามารถสร้างได้
        เชื้อเพลิงชนิดนี้สามารถให้พลังงานกับเครื่องยนต์ได้มาก โดยไม่ทำให้เครื่องยนต์เสียหาย เนื่องจากค่าความร้อนน้อย การเผาไหม้มีอุณหภูมิต่ำกว่าเบนซิน ก็ตัดปัญหาเรื่องลูกสูบละลายไปได้มาก อีกทั้งยังจะต้องใช้ปริมาณเชื้อเพลิงที่มีอัตราส่วนสูงกว่าเบนซินถึง 2 เท่าตัว เช่นเครื่องเบนซินอยู่ในเกณฑ์ 11-15:1 กับอากาศ สำหรับแอลกอฮอล์จะต้องให้ส่วนผสมอยู่ที่   6-7:1 คือ 2 เท่า ของเบนซินและเชื้อเพลิงชนิดนี้มีการดูดซับความร้อนได้ดีมาก
        เมื่อฉีดเชื้อเพลิงผสมกับอากาศ ก็จะทำให้ลดอุณหภูมิของอากาศได้จนต่ำกว่า 0? เพราะในขณะที่เครื่องยนต์สตาร์ทติดใหม่ๆ ยังไม่มีความร้อน ท่อไอดีจะเย็นมากจนน้ำแข็งเริ่มจับ มันเป็นอาการเดียวกับเวลาที่เราจะถูกฉีดยาแล้วใช้แอลกอฮอล์เช็ดผิวก่อน ตรงนี้จะมีความรู้สึกเย็น การลดอุณหภูมิของอากาศที่จะเข้าเครื่องยนต์ได้มาก ก็ยิ่งจะทำให้ความหนาแน่นของอากาศมีมวลสูง คือมีเม็ดอากาศถูกบรรจุในกระบอกสูบได้มาก เครื่องยนต์ก็ให้แรงม้าได้มาก มันเป็นธรรมชาติของมันอยู่แล้ว



    ความรู้เรื่องเชื้อเพลิง E85
        พลังงานในรูปของเชื้อเพลิงทดแทนจากเอทานอลกำลังเข้ามาช่วยให้การใช้รถยนต์ของคนไทยมีความประหยัดมากยิ่งขึ้น รถยนต์แบบเฟล็กซ์ฟิวที่มีขายในประเทศได้เข้ามาทำให้ทางเลือกในการเติมเชื้อเพลิงมีความหลากหลาย เชื้อเพลิงทางเลือกเอทานอลยังรักษาสภาพแวดล้อมเนื่องจากปล่อยมลพิษน้อยกว่าเชื้อเพลิงเบนซินปกติทั่วไป...
        น้ำมันเชื้อเพลิงที่มีตัวอักษร E นำหน้า  หมายถึงการผสมผสานระหว่างน้ำมันเชื้อเพลิงเบนซินและเอทานอล  หรืออีกชื่อหนึ่งที่เรียกกันว่าแก๊สโซฮอล์ สำหรับตัวเลขที่ต่อท้ายหมายถึงปริมาณเอทานอลที่ผสมอยู่ เช่น E85  มีส่วนผสมของเอทานอล 85% และน้ำมันเชื้อเพลิงอีก 15% ในขณะที่ E10  มีเอทานอล 10% ผสมกับน้ำมันเบนซิน 90% เช่นเดียวกับ E20 ที่มีเอทานอล 20%  และเบนซินอีก 80% ในประเทศไทยนั้น  เริ่มทำการจำหน่ายเชื้อเพลิงแก๊สโซฮอล์มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2544  โดยมีส่วนผสมเอทานอล E10 สำหรับในประเทศอื่นๆ นั้น  ก็ได้มีการส่งเสริมให้ใช้เชื้อเพลิงทางเลือกประหยัดพลังงานกันอย่างแพร่หลายทั้งที่ออสเตรเลีย บราซิล แคนาดา  สหรัฐอเมริกาและยุโรปในบางประเทศที่เล็งเห็นถึงคุณประโยชน์ของเชื้อเพลิงเอทานอล
        ความจริงแล้วเชื้อเพลิงแก๊สโซฮอล์ 95  ก็คือเชื้อเพลิง E10 นั่นเองท่ี่ผสมกับน้ำมันออกเทน 95 ขณะที่แก๊สโซฮอล์  91 นั้นมีราคาขายที่ถูกกว่าเนื่องจากมีออกเทนน้อยกว่า  ซึ่งเชื้อเพลิงแก๊สโซฮอล์ 91 ก็คือเชื้่อเพลิงเบนซินแบบ 95  ที่ผสมกับเอทานอล เพียงแต่ออกเทนของแก๊สโซฮอล์ 91  นั้นน้อยกว่าออกเทนของแก๊สโซฮอล์ 95 นั่นเอง  ค่าออกเทนที่สูงกว่าจะทำให้การจุดระเบิดสมบูรณ์ ให้สมรรถนะดีขึ้นเล็กน้อยในรถยนต์ที่มีอัตราส่วนกำลังอัดสูงและใช้ระบบจุดระเบิดแบบแปรผัน  สำหรับเอทานอลนั้น ผลิตได้จากวัสดุทางชีวภาพที่ผ่านขั้นตอนขบวนการหมัก  วัตถุดิบดังกล่าวมีทั้งอ้อย มันสำปะหลัง เมล็ดข้าว ข้าวบาร์เลย์ มันเทศ  ต้นทานตะวัน ข้าวสาลีและมวลชีวภาพอื่นๆ  โดยที่อ้อยและมันสำปะหลังเป็นวัตถุดิบหลักในการใช้ผลิตเอทานอลของประเทศไทย 
        ปัจจุบัน ประเทศไทยมีการทำการเกษตรไร่อ้อยรวมพื้นที่ทั้งสิ้น 8 ล้านไร่  และมีพื้นที่ปลูกมันสำปะหลังอีก 8 ล้านไร่ประโยชน์ของเอทานอลต่อสิ่งแวดล้อมเป็นที่ยอมรับในวงกว้าง  เอทานอลมีปริมาณของออกซิเจนสูงกว่าราว 30% เมื่อเทียบกับเชื้อเพลิงเบนซิน  ผลลัพธ์ที่ได้คือการเผาไหม้ที่หมดจดและสะอาดกว่า โดยทั่วๆ ไปแล้วเชื้อเพลิง E85 จะช่วยลดการปล่อยแก๊สคาร์บอนไดออกไซค์ CO2 ลงได้ประมาณ 20%  ขณะที่มลพิษอื่นๆ เช่น คาร์บอนมอนน็อคไซค์ ไนตรัสออกไซค์  และซัลเฟอร์ไดออกไซค์จะมีปริมาณลดลงอย่างมากเช่นกัน  แก๊สมลภาวะเหล่านี้ก่อให้เกิดสภาวะเรือนกระจก ตามมาด้วยสภาวะโลกร้อน  เชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมของเอทานอลยังลดสารก่อมะเร็งบางชนิดอย่างเบนซินและบิวทาไดอีนอีกด้วย ในปัจจุบัน ประเทศไทยใช้น้ำมันเบนซิน 20  ล้านลิตร และดีเซลอีก 50 ล้านลิตรต่อวัน  เนื่องจากแหล่งผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงและทรัพยาการที่น้อย  ทำให้ไทยต้องนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงส่วนใหญ่จากต่างประเทศ โดยในปี พ.ศ.2552 ประเทศไทยใช้งบประมาณในการนำเข้าเชื้อเพลิงเป็นจำนวนเงิน 623,000 ล้านบาท ขณะที่ในปี พ.ศ. 2555 ตัวเลขดังกล่าวเพิ่มขึ้นเป็น 1.1 ล้านบาท
        จากข้อดีต่อสิ่งแวดล้อมแล้ว  การใช้เอทานอลในวงกว้างยังมีส่วนช่วยในด้านความมั่นคงของพลังงานในประเทศ  เนื่องจากเอทานอลสามารถผลิตได้ในปริมาณมากๆ ในประเทศไทย  เป็นพลังงานหมุนเวียนที่มีความยั่งยืน  ช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานในประเทศและมีส่วนสำคัญในการลดการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงจากต่างประเทศ  การผลิตเอทานอลยังสามารถสร้างรายได้ให้กับประเทศด้วยการส่งออก ในปี พ.ศ. 2550  ไทยส่งออกเอทานอลจำนวน 14.9 ล้านลิตร ก่อนที่จะเพิ่มเป็น 303.87  ล้านลิตรในปี พ.ศ. 2555  สำหรับประเทศที่นำเข้าเอทานอลจากไทยมากที่สุด ได้แก่ ประเทศญี่ปุ่น  ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์และเกาหลีใต้  ในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาประเทศไทยมีการใช้เอทานอลจำนวนถึง 2.4  ล้านลิตรต่อวัน ความต้องการใช้มีแนวโน้มว่าจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว  กระทรวงพลังงานประเมินว่า ยอดการใช้เอทานอลจะเพิ่มถึงระดับ 9  ล้านลิตรต่อวันในปี 2565 ทุกวันนี้มีรถยนต์เฟล็กซ์ฟิวจำนวน 52,112  คันวิ่งอยู่บนถนนในประเทศไทย มีสถานีบริการเชื้อเพลิง E85 จำนวน 64  แห่งทั่วประเทศ  ทั้งสองตัวเลขนี้คาดว่าจะปรับเพิ่มขึ้นหลังจากที่มีรถยนต์ที่สามารถรองรับเชื้อเพลิงชนิดนี้ออกสู่ตลาด รวมถึงรถยนต์ Chevrolet Captiva และ Cruze
        ทำความเข้าใจกับรถยนต์ที่สามารถใช้เชื้อเพลิง E85 ให้มากยิ่งขึ้น  ก่อนอื่นต้องพิจารณาถึงข้อเท็จจริงบางประการของเอทานอลเสียก่อน  เอทานอลมีคุณสมบัติกัดกร่อน มีค่าความร้อนต่ำกว่าราว 28%  ซึ่งหมายความว่าหากต้องการพลังงานเทียบเท่าเชื้อเพลิงเบนซิน  จะต้องใช้เอทานอลในปริมาณที่มากกว่า ขณะเดียวกันเมื่อเทียบกับน้ำมันเบนซินทั่วไปแล้ว  เอทานอลมีค่าออกเทนสูงกว่าน้ำมันเบนซินอีกด้วย เพื่อการใช้ประสิทธิภาพ E85  ได้อย่างน่าพึงพอใจ รถยนต์จะต้องมีระบบเชื้อเพลิงที่รองรับ E85  เพื่อให้มีความทนทานต่อคุณสมบัติกัดกร่อนของเอทานอล  ไม่ว่าจะเป็นปั๊มเชื้อเพลิง สายนำส่งเชื้อเพลิง  หัวฉีดและเครื่องยนต์รวมถึงชิ้นส่วน เช่น ลูกสูบ แหวนรองลูกสูบ  วาล์วและบ่าวาล์วจะต้องมีความแข็งแกร่งทนทานมากยิ่งขึ้น  เนื่องจากเอทานอลปริมาณมากจะต้องถูกใช้เพื่อผลิตพลังงานให้ได้เท่ากับ เครื่องยนต์เบนซิน ปั๊มเชื้อเพลิง  สายเชื้อเพลิงและหัวฉีดจะต้องมีอัตราไหลลื่นมากกว่า  เอทานอลมีค่าออกเทนสูงกว่าเชื้อเพลิงเบนซิน  จังหวะของการจุดระเบิดจะต้องเกิดขึ้นล่วงหน้าและหน่วงเวลาโดยขึ้นอยู่กับปริมาณของเอทานอลในเชื้อเพลิง  การจุดระเบิดด้วยระบบจุดระเบิดที่ทันสมัยจะทำให้เครื่องยนต์มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น สำหรับเครื่องยนต์ E85  พละกำลังที่เพิ่มขึ้นได้เข้ามาชดเชยการผลิตพลังงานที่น้อยกว่าของเอทานอล  จึงไม่ส่งผลกระทบไปถึงกำลังในรูปของแรงม้าจากเครื่องยนต์  ซึ่งเป็นเรื่องที่มักจะมีความเข้าใจที่ผิดมาโดยตลอด

    กล่อง ECU  ในรถยนต์เฟล็กซ์ฟิวจะทำการปรับอัตราการไหลเวียนเชื้อเพลิงและการจุดระเบิดในทันที 
    ความยืดหยุ่นในระบบทำให้รถยนต์เฟล็กซ์ฟิวสามารถรองรับเชื้อเพลิงได้ตั้งแต่ E10 ไปจนถึง E85 นั่นคือที่มาของรถยนต์แบบเฟล็กซ์ฟิว  สำหรับความเข้าใจผิดเกี่ยวกับเอทานอลคือจะสามารถเพิ่มกำลังของเครื่องยนต์ได้เนื่องจากมีค่าออกเทนสูง แต่ในความเป็นจริงแล้วนั้น  ค่าออกเทนที่สูงจะช่วยใน    เรื่องของการจุดระเบิดล่วงหน้าแต่ยังคงคายกำลังเท่าเดิม การเพิ่มกำลังของเครื่องยนต์จะต้องมีการปรับปัจจัยหลายอย่าง เช่น  อัตราส่วนกำลังอัด  ซึ่งถูกกำหนดมาจากโรงงานผู้ผลิตนั้นไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้นอกจากการปรับแต่งเครื่องยนต์ครั้งใหญ่ ส่วนผสมของอากาศและเชื้อเพลิง  อัตราการไหลเวียนของเชื้อเพลิง การปรับแต่งเครื่องยนต์และจูนกล่องควบคุม  ECU ปัจจุบันมีชุดปรับแต่งเครื่องยนต์ให้สามารถรองรับเชื้อเพลิงแบบ E85  แต่ก็ยังคงไม่สมบูรณ์แบบมากนัก  แตกต่างจากรถยนต์แบบเฟล็กซ์ฟิวที่ผลิตโดยตรงจากโรงงาน  ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อรองรับเชื้อเพลิงทดแทนโดยเฉพาะ เนื่องจากเอทานอลจะต้องถูกใช้ในปริมาณมากกว่าเพื่อที่จะผลิตพลังงานให้เทียบเท่าเชื้อเพลิงเบนซิน  อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงของเอทานอลจึงสูงกว่าเชื้อเพลิงแบบเบนซิน  แต่ด้วยราคาที่ถูกกว่าเบนซิน (เอทานอล E85 ลิตรละประมาณ 21.38 บาท)  ถูกกว่าแก๊สโซฮอล์ 91 ซึ่งมีราคาสูงถึง 34.68 บาท  ข้อได้เปรียบในจุดของราคาเอทานอลที่ถูกกว่าทำให้อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด  ถึงแม้จะสิ้นเปลืองมากกว่าเชื้อเพลิงเบนซินและต้องเติมบ่อยกว่า แต่ผู้ใช้  E85 ก็ยังพบว่ามีค่าใช้จ่ายในการเติมเชื้อเพลิงที่ต่ำกว่าเบนซินอยู่ดี  แถมยังช่วยในเรื่องของมลพิษที่ลดลงอีกด้วย


    ข้อมูลจาก http://www.rodweekly.com แหล่งที่มา นิตยสาร รถ Weekly

    จำหน่ายยางรถทุกขนาด

    ยางเรเดียล ยางรถบรรทุก
    165R13, 155/70R12, 155/70R12, 175/70R13, 185/70R13, 185/70R14, 185/65R14, 205/65 R15, 195/60 R15, 195/65R15, 195R14C, 235/75R15, 205/70R15C, 215/70R15C, 215/70R15 C, 225/70R15, 245/70R16, 30X9.5R15, 31X10.5R15, 195R14C, 205R14C, 265/70R16, 205/45R17, 215/45R17

    ยางรถบรรทุกเล็ก-กลาง (Light Truck)
    6.00-14, 6.50-14, 6.50-15, 7.00-15, 7.50-15, 8.25-15, 9.00-15, 10.00-15, 6.50-16, 7.00-16, 7.50-16, 8.25-16, 9.00-16, 10.00-16, 11.00-16, 6.50-20, 7.00-20, 7.50-20

    ยางรถบรรทุกเล็ก-กลาง (Light Truck Radial)
    7.50R15, 10.00R15, 6.50R16, 7.00 R 16, 7.50 R 16, 7.50 R 16, 8.25 R 16, 9.00R16, 10.00R16, 11.00R16, 9.5R17.5, 215/75R17.5, 225/75R17.5, 235/75R17.5, 245/75R17.5, 245/70R19.5, 245/75R19.5, 265/75R19.5

    ยางรถโดยสารและยางรถบรรทุกใหญ่ (Bus & Truck Tire)
    8.25-20, 9.00-20, 10.00-20, 11.00-20, 12.00-20, 13.00-20, 14.00-20, 11.00-22, 12.00-24

    ยางเรเดียลรถโดยสารและยางรถบรรทุกใหญ่ (Truck and Bus Radial)
    9.00R20, 10.00R20, 11.00R20, 12.00R20, 13.00R20, 14.00R20, 11.00R22, 11R22.5, 275/70 R 22.5, 275/80R22.5, 295/75R22.5, 12R22.5, 295/80R22.5, 315/80R22.5, 385/65R22.5, 425/65R22.5, 12.00R24, 11R24.5, 285/75R24.5

    ยางรถตักเล็ก (Skid Steer Tire), รถตักล้อยาง komatsu, รถตัก JCB, รถตักเอวอ่อน, รถตักดิน, อะไหล่รถตัก, รถแม็คโคร, รถขุด, รถขุดล้อยาง, รถตักหน้าขุดหลัง, รถขุดดิน, รถขุด komatsu, รถขุด kobelco, รถขุดเล็ก, รถแบคโฮ, รถตักล้อยาง
    5.70-12, 23x8.50-12, 5.50-15, 7.50-15, 27x10.50-15, 27x8.50-15, 10-15, 12/65-15, 125/65-15, 27x10.50-15, 31x15.50-15, 33x12.50-15, 125/70-16, 14.0/65-15, 12.5/70-16, 15.5/60-16, 15.0/55-17, 15.0/55-17 (380/55-17), 10-18, 10.5/80-18 ,12.0/12.5-18, 12.5/80-18, 12.0/12.5-18, ,15.5/60-18, 15.5/70-18, 10-16.5 NHS,12-16.5 NHS, 14-17.5 NHS, 15-19.5 NHS, 16.0/70-20 (405/70-20), 42x17-20, 17.5/65-20, 14.9-24, 16/70-24 (405/70-24), 500/60-22.5 (161A8/149A6)

    ยางรถตัก (Loader Tire)
    16.9-24, 12.00-24, 13.00-24, 14.00-24, 16.9-24, 18.4-24, 19.5L-24, 16.00-24, 16.00-25, 15.5-25, 17.5-25, -25, 20.5-25, 23.5-25, 26.5-25, 29.5-25, 18.00-25, 21.00-25, 18.4-26, 16.9-28, 29.5-29, 18.00-33, 35/65-33, 21.00-35, 24.00-49, 27.00-49, 45/65-45, 50/65 -51, 65/60-51, 30.00-51, 55.5/80-57, 65/65-57

    ยางรถเกรด (Grader Tire)
    10.5/80-18, 12.5/80-18, 8.25-20, 12.00-20, 13.00-20, 14.00-20, 500/60-22.5, 600/50-22.5, 710/40-22.5, 18-22.5, 13.00-24, 14.00-24, 16.00-24, 16.00-25, 15.5-25, 17.5-25, 18.00-25, 20.5-25, 23.5-25, 26.5-25, 18.4-26, 385/95R24 (14.00R24), 385/95R25 (14.00R25), 445/95R25 (16.00R25), 445/95R24 (16.00R24), 505/95R25 (18.00R25), 445.80R25 (17.5R25), 525/80R25 (20.5R25), 23.5R25, 26.5R25

    ยางสำหรับรถเครื่องจักรกล (Earthmover Tire)
    14.00-24, 16.00-25, 18.00-25, 18.00-33, 21.00-25, 33/65-33, 21.00-35, 24.00-35, 33.25-35, 37.5-39, 40/65-39, 41.25/70-39, 45/65-45, 24.00-49, 27.00-49, 30.00-51, 50/65-51, 65/60-51, 55.5/80-57, 65/65-57

    ยางรถเครน (Crane Tire)
    12.00-20, 13.00-20, 14.00-20, 13.00-24, 14.00-24, 16.00-24, 16.00-25, 18.00-25, 20.00-25, 23.00-25, 26.5-25, 385/95R24 (14.00R24), 385/95R25 (14.00R25), 445/95R25 (16.00R25), 445/95R24 (16.00R24), 505/95R25 (18.00R25), 445/80R25 (17.5R25), 525/80R25 (20.5R25), 23.5R25, 26.5R25, 17.5R29

    ยางรถบดถนนและสั่นสะเทือน (Compactor Tire)
    95/65-15, 7.50-15, 7.50-16, 8.25-20, 9.00-20, 11.00-20, 12.00-20, 14/70-20 15.00-20, , 13.00-24, 23.1-26

    ยางอุตสาหกรรมการเกษตร (Industrial Agricultural Tire)
    11L-15, 11.5/80-15.3, 12.5/80-15.3, 11L-16, 380/55-17, 14.9-24, 16.9-24, 17.5L-24, 18.4-24, 19.5L-24, 21L-24, 16.9-28

    ยางตันรถยก (Solid Tire) ยางลมรถยก, ยางลมโฟกลิฟ
    3.50-5, 4.00-8, 2.00-8, 5.00-8, 15x4.50-8, 16x6-8, 18x7-8, 16x5-9, 6.00-9, 21x8-9, 140/55-9, 200/50-10, 6.50-10, 23x9-10, 4.50-12, 7.00-12, 23x10-12, 27x10-12, 8.25-12, 2.50-15, 3.00-15, 5.50-15, 7.00-15, 355/65-15, 7.50-15, 8.15-15 (28x9-15), 8.25-15, 28x12.5- 15, 32x12.1-15, 300-15, 30x10-18, 30x10-20, 7.50-16, 9.00-16, 8.25-20, 9.00-20, 10.00-20, 12.00-20, 12.00-24, 13.00-24, 14.00-24, 14.00-25, 16.00-25, 18.00-25, 17.5-25, 20.5-25, 23.5-25, 26.5-25, 29.5-25, 15x4-8, 16x5-10.5, 16x6-10.5, 15.5-11.25, 16.25-11.25, 16.25x6-11.25, 18x6-12.15, 18x7-12.125, 21x7-15, 21x8-15, 22x2-16, 22x14-16, 28x10-22, 40x16-30, 250x105-170, 9.5-5, 10.5x6-5, 10x5-6.1875, 10x3-6.25, 10x4-6.25, 10x6-6.25, 10x7-6.25, 11x4-6.5, 12x3.5-8, 12x4-8, 12x5-8, 13.3.5-8, 13x4.5-8, 13x5-8, 13.5x4.5-8 14x4.5-8, 16.25x5-11.25, 16.25x6-11.25, 16.25x7-11.25, 16x4-12.125, 16x5-12.125, 17x5-12.125, 17x6-12.125, 17x5-12.125, 17x6-12.125, 18x5-12.125, 18x6-12.125, 18x7-12.125, 18x8-12.125, 18x9-12.125,20x8-15, 20x9-15, 8x2/1.20, 10x2/1.20, 10x3/1.20, 28x12.5-15/9.75, 30x10-20/7.5, 31x10-20/7.5, 33x12-20/7.5, 33x10.75-20/7.5

    ยางรถไถ (Agricultural Tire)
    3.50-6, 4.00-6, 13X5.00-6, 3.50-7, 4.00-7, 3.50-8, 4.00-8, 4.00-9, 16X6.50-8, 4.00-10, 4.50-10, 5.00-10, 6.50-10, 23x10-10, 4.00- 12, 5.00-12, 6.00-12, 6-12, 23X8.50-12, 23X10.5-12, 26X12.0-12, 5.00-13, 5.60-13, 5.00-14, 6.00-14, 6.50-14, 7.00-14, 3.50-15, 5.00-15, 10.0/75-15.3, 10.0/80-15.3, 4.00-16, 5.00-16, 5.50-16, 6.00-16, 6.50-16, 7.00-16, 7.50-16, 8.00-16, 8.25-16, 9.00-16, 9.5 -16, 10.00-16, 11.00-16, 12.4-16, 5.50-17, 6.00-18, 7.50-18, 8.00-18, 4.00-19, 6.00-19, 6.50-20, 7.50-20, 9.5-20, 11.2-20, 16/70- 20, 8.3-22, 9.5-22, 9.5-24, 11.2-24, 12.4/11-24, 12.4-24, 13.6-24, 14.9-24, 16.9-24, 16.5/85-24, 15.5/80-24, 13.6-26, 14.9-26, 18.4-26, 23.1-26, 12.4/11-28, 12.4-28, 16.9/14-28, 16.9-28, 18.4/15-28, 18.4-28, 16.9/14-30, 16.9-30, 18.4/15-30, 18.4-30, 23.1-30, 12.4-32, 14.9-34, 16.9/14-34, 16.9-34, 18.4/15-34, 18.4-34, 13.6-38, 14.9-38, 15.5-38, 16.9-38, 18.4/15-38, 18.4-38, 20.8-38, 24.5 -32, 23.1-26, 28L-26, 18.4-42

    ยางรถอุปกรณ์ภาคสนาม (Lawn & Garden Equipment)
    11x4.00-4, 4.00-4, 4.10/3.50-4, 11x4.00-5, 13x5.00-6, 13x6.50-6, 15x6.00-6, 16x6.50-8, 16x7.50-8, 18x6.50-8, 18x7.50-8, 18x8.50-8, 18x9.50-8, 20x10.00-8, 20x8.00-8, 4.80/4.00-8, 20x10.00-10, 23x10.50-12, 23x8.50-12, 23x9.50-12, 26x12-12

    ยางล้อรถเข็น (Wheel Barrow)
    4.00-6, 3.25/3.00-8, 3.50-8, 4.80/4.00-8

    ยางภาคสนาม (Implement Tire)
    2.50-4, 3.00-4, 4.10/3.50-4, 4.80/4.00-5, 4.10/3.50-5, 4.10/3.50-6

    ยางโกคาร์ท
    18x8.50-8,10.00x4.50-5,11.00x7.10-5,10.00x4.50-5

    ยางออฟโรด
    33x10.5-16, 36x12.5-16

    ยาง ATV ยางรถเอทีวี ยางรถวิบาก (All-Terrain Vehicle Tire, ATV Tire)
    16x8.00-7, 16x6.50-8, 20x7.00-8, 22x11.00-8, 22x11.00-9, 22.5x12.00-9, 25x12.00-9, 22x11-10, 24x11.00-10, 25x12.00-10, 23x8.00-11, 24x9.00-11, 24x10.00-11, 25x8.00-12, 25x9.00-12, 25x10.00-12, 26x10.00-12, 26x12.00-12, 27x9.50-12, 27x10.00-12, 27x12.00-12, 28x9.50-12, 28x10.00-12, 28x12.00-12

    ยางรถกอล์ฟ (Golf Tire)
    18x8.50-8, 205/50-10

    ยางรถโกคาร์ท (Go-Kart Tire)
    10x4.50-5, 11x6.00-5, 11x7.10-5, 36/100-5, 45/110-5, 60/110-5, 71/110-5, 45/100-5, 55/110-5, 75/110-5